พระประวัติสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจุ้ย (ต่อมาได้เลื่อนยศเป็นท้าวทรงกันดาล) เมื่อปี พ.ศ. 2333 มีพระนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าวาสุกรี ทรงผนวชเป็นสามเณรเมื่อพระชนมายุได้ 12 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2345 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ แล้วเสด็จไปประทับ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ทรงศึกษาหนังสือไทยและภาษาบาลีตลอดทั้งวิชาอื่น ๆ จากสมเด็จพระพนรัตน์ จนทรงมีพระปรีชาสามารถ ทั้งทางคดีโลก และคดีธรรม มีผลงานอันเป็นพระราชนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงให้รวมวัดในแขวงกรุงเทพมหานคร ขึ้นเป็นคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกลาง แล้วได้สถาปนากรมหมื่นนุชิตชิโนรสให้ดำรงสมณศักดิ์เสมอเจ้าคณะรอง และทรงตั้งเป็นเจ้าคณะกลาง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส ขึ้นเป็น กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงสมณศักดิ์เป็นพระมหาสังฆปริณายก ทั่วพระราชอาณาเขต ให้จัดตั้ง พระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามมีทั้งพิธีสงฆ์ และพิธีพราหมณ์ คล้ายกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของคณะสงฆ์ไทย
เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชก็ว่างตลอดรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว อาจจะเนื่องจากไม่มีพระเถระรูปใดมีคุณสมบัติอยู่ในฐานะที่จะทรงสถาปนาตาม หลักเกณฑ์ กล่าวคือ ตามพระราชประเพณีนิยมที่มีมาแต่โบราณ พระเถระที่จะทรงตั้งเป็น สมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระราชาคณะ นั้น ก็เฉพาะผู้ทรงคุณสมบัติพิเศษ คือเป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นอาจารย์เป็นที่ทรงนับถือเหมือนอย่างพระอุปัชฌาย์ หรือพระอาจารย์ หรือเป็นผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า มีอายุแก่กว่าพระชนมพรรษา แม้ว่าจะว่างสมเด็จพระสังฆราช แต่การปกครองคณะสงฆ์ก็สามารถดำเนินไปได้ด้วยดี เนื่องจากแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์ทรงถือเป็นพระราชภาระในการปกครองดูแลคณะสงฆ์ โดยมีเจ้านาย หรือขุนนางผู้ใหญ่ในตำแหน่ง เจ้ากรมสังฆการี เป็นผู้กำกับดูแลแทนพระองค์ สมเด็จพระสังฆราชมิได้ทรงบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรง ทรงดำรงฐานะปูชนียบุคคล การปกครองในลักษณะนี้ ได้มาเปลี่ยนแปลงไปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภายหลังพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า การเรียกพระนามพระบรมราชวงศ์ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระประมุขแห่งสังฆมณฑลแต่ เดิมนั้นเรียกตามพระอิสริยยศแห่งพระบรมราชวงศ์ ไม่ได้เรียกตามสมณศักดิ์ของพระประมุขแห่งสังฆมณฑล คือ "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ" หรือที่เรียกอย่างย่อว่า "สมเด็จพระสังฆราช" พระองค์จึงเปลี่ยนคำนำพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระ ประมุขแห่งสังฆมณฑลว่า "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า" เพื่อให้ปรากฏพระนามในส่วนสมณศักดิ์ด้วย ดังนั้น จึงเปลี่ยนคำนำพระนามเป็น "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงมีพระอัจฉริยภาพหลายด้าน ในทางอักษรศาสตร์ ก็ได้นิพนธ์เรื่องฉันท์มาตราพฤติ และวรรณพฤติ ตำราโคลงกลบท คำกฤษฎี เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้นิพนธ์บทกวีอีกเป็นจำนวนมาก ที่ล้วนมีคุณค่าเป็นเพชรน้ำเอกทางวรรณกรรมของไทยตลอดมาสำหรับวรรณกรรมศาสนา ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องพระปฐมสมโพธิกถา ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก หรือร่ายยาวมหาชาติ ซึ่งนับเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกทางพระพุทธศาสนาในสมัยรัตนโกสินทร์ นอกจากนี้ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้มากเช่น ลิลิตตะเลงพ่าย พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส เทศนาพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ลิลิตกระบวนพยุหยาตราพระกฐินสถลมารค และชลมารค เป็นต้น
ในทางพระพุทธศิลป์ ได้ทรงคิดแบบพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงเลือกพระอิริยาบทต่าง ๆ จากพุทธประวัติเป็นจำนวน 37 ปาง เริ่มตั้งแต่ปางบำเพ็ญทุกขกิริยา จนถึงปางห้ามมาร พระพุทธรูปปางต่าง ๆ เหล่านี้ ในปี พ.ศ. 2533 องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสเป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรมระดับโลก ประจำปี พ.ศ. 2533 นับเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่ได้รับการถวายเกียรตินี้
พระราชนิพนธ์
สรรพสิทธิคำฉันท์
สมุทรโฆษคำฉันท์ตอนปลาย
กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
ฉันท์ดุษฏีสังเวยกล่อมช้างพัง
กาพย์ขับไม้กล่อมช้างพัง
ฉันท์มาตราพฤติ
ฉันท์วรรณพฤติ
ลิลิตตะเลงพ่าย
ลิลิตกระบวนพยุหยาตราพระกฐินสถลมารคและชลมารค
โคลงยอพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อปฏิสังขรวัดพระเชตุพน
ร่ายทำขวัญนาค
เทศน์มหาชาติ ๑๑ กันฑ์
ตำราพระพุทธรูปต่างๆ
ปฐมสมโพธิกถา
พระธรรมเทศนาพงศาวดากรุงศรีอยุธยา
ลิลิตจักรทีปนี (เป็นตำราโหราศาสตร์)
กลอนเพลงยาวเจ้าพระ
คำฤษฏี (หนังสือรวบรวมศัพท์)
โคลงเบ็ดเตล็ดต่างๆ เช่น โคลงฤษีดัดตน โคลงภาพต่างภาษา
ฉันท์สังเวยกลองวินิจฉัยเภรี
กุรุธรรมชาฏก
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปิตา กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากปิตถา กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ (5 เมษายน พ.ศ. 2357 - 22 ธันวาคม พ.ศ. 2415) ประสูติเมื่อวันอังคาร เดือน 5 แรม 1 ค่ำ ปีจอ เบญจศก จุลศักราช 1176 ตรงกับวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2357 ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและเจ้าจอมมารดาอัมพา ทรงเป็นต้นราชสกุลกปิตถา
ในปี พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ และโปรดเกล้าให้ทรงกำกับกรมพระอาลักษณ์
สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 5 เมื่ออาทิตย์ เดือนอ้าย แรม 7 ค่ำ ปีวอก จัตวาศก จุลศักราช 1234 ตรงกับวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2415 พระชันษา 59 ปี
ในปี พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ และโปรดเกล้าให้ทรงกำกับกรมพระอาลักษณ์
สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 5 เมื่ออาทิตย์ เดือนอ้าย แรม 7 ค่ำ ปีวอก จัตวาศก จุลศักราช 1234 ตรงกับวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2415 พระชันษา 59 ปี
พระโอรส-พระธิดา
- หม่อมเจ้าหญิงนารีรัตน์ กปิตถา (พ.ศ. 2392 - 16 มกราคม พ.ศ. 2454)
- หม่อมเจ้าหญิงอุทุมพร กปิตถา
- หม่อมเจ้าชายวัฒนา กปิตถา หรือ หม่อมเจ้าชายพัฒนา (พ.ศ. 2396 - 23 ตุลาคม พ.ศ. 2454)
- หม่อมเจ้าชายไม่ปรากฏพระนาม
- หม่อมเจ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม (16 กันยายน พ.ศ. 2401 - ไม่มีข้อมูล)
- หม่อมเจ้าหญิงเพ็ญจันทร์ กปิตถา (พ.ศ. 2405 - 29 เมษายน พ.ศ. 2473)
- หม่อมเจ้าหญิงลาวรรณ์ กปิตถา
- หม่อมเจ้าชายทัศนา กปิตถา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น